Audio-Technica
Audio-Technica
หลังจากดาวน์โหลดกันเสร็จเรียบร้อยเชื่อว่าตอนนี้หลายคนกำลังกด กด กด และกดอยู่ในหน้าจอเครื่องที่เพิ่งลง iOS 5 ว่าทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้เราลองมาดูฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 5 ไปพร้อม ๆ กันดีกว่า
สำหรับ iOS 5 ถ้าดูจากหน้าเว็บแอปเปิ้ลจะเห็นว่ามีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาเยอะมาก ถือเป็นการอัพเดท iOS ที่หลายคนนับวันนับคืนว่าเมื่อไหร่จะออกมาให้ดาวน์โหลดสักที ผมไล่เรียงฟีเจอร์ใหม่เด่น ๆ ใน iOS 5 ได้ตามนี้ ลองติดตามอ่านกันดูครับ
สำหรับ iMessage เป็นการส่งความไปมาหาสู่กันระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ iOS 5 ด้วยกัน โดยในส่วนเมนู Settings จะมีเมนูตั้งค่าของ iMessage ว่าเราจะเปิดใช้หรือไม่ โดยการส่งข้อความผ่าน Message จะใช้อีเมลและเบอร์โทรศัพท์ในการรับส่ง โดยในการตั้งค่าบน iPhone จะมีเมนูย่อย Send As SMS คือให้ส่งเป็นข้อความ SMS แบบเสียเงินหรือไม่ในกรณีที่ใช้ iMessages ไม่ได้ ตรงนี้แนะนำให้ปิดสำหรับคนที่ไม่ได้มีแพ็กเกจเกี่ยวกับส่ง SMS เพราะจะทำให้เครื่องส่งข้อความแบบเสียเงินอัตโนมัติแทน iMessage (โดยเฉพาะการใช้ iMessage กับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ)
หน้าตาในส่วนของ Settings ที่มีเมนูใหม่เพิ่มเข้ามา
ในส่วนการตั้งค่า iMessage บน iPhone
ในส่วนการตั้งค่า iMessage บน iPod touch
iMessage จะอ้างอิงกับเบอร์โทรศัพท์และอีเมล (Apple ID)
สำหรับการสังเกตว่าเพื่อนเราเปิดใช้ iMessages ด้วยหรือไม่นั้นให้ดูจากไอคอนสีฟ้าด้านหลังชื่อว่าตอนที่เราเลือกเสร็จแล้วขึ้นหรือไม่ ไม่อย่างนั้นให้ดูหลังจากที่เลือกเสร็จแล้วตรงกรอบที่ใช้พิมพ์ข้อความจะขึ้นว่า iMessages (ถ้าเป็น SMS จะขึ้นเป็น Text Messages) หลังจากที่เราพิมพ์ข้อความและส่งไปหาเพื่อนแล้วสามารถสังเกตได้อีกหนึ่งทางคือข้อความที่ส่งโดยใช้ iMessages จะเป็นสีฟ้า ส่วนข้อความที่เป็น SMS แบบเสียเงินจะเป็นสีเขียว
การใช้ iMessage สามารถส่งได้ทั้งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ โดยการส่งข้อความเพียงอย่างเดียวผ่าน EDGE หรือ 3G ถือว่าทำหน้าที่ได้ไม่มีปัญหาไว้ใจได้ว่าข้อความของเราถึงปลายทางค่อนข้างแน่ ส่วนการส่งรูปและวิดีโอเท่าที่ลองถ้าเป็นตอนที่เราใช้ EDGE บน iPhone / iPad อาจจะพบว่าไม่สามารถส่งรูปผ่านได้ในครั้งแรกบ่อย ๆ แต่ในทางกลับกันถ้าเป็นบริเวณที่มีสัญญาณ 3G ค่อนข้างเสถียรการส่งรูปภาพผ่าน iMessage ไม่มีปัญหา ส่วนวิดีโอขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นความยาวของวิดีโอและความแรงของ Wi-Fi หรือ 3G ในขณะนั้นว่าเป็นยังไง
เท่าที่ลองส่งวิดีโอที่ถ่ายบน iPhone 4 ความยาว 1 นาทีด้วย iMessages ผ่าน Wi-Fi (อัพโหลด 1Mbps) ซึ่งกว่าจะขึ้นว่า Delivered ใช้เวลานานถึง 10 นาที โดยเมื่อปลายทางเช็คไฟล์วิดีโอที่ได้พบว่าวิดีโอเป็นแบบ 568×320 พิกเซล (30fps) ขนาด 6.5 MB ส่วนการส่งผ่าน 3G (อัพโหลด 1.5Mbps) ไฟล์วิดีโอ 1 นาทีใช้เวลาส่งเร็วกว่าคือเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น แต่ไฟล์วิดีโอมีขนาดเล็กเพียง 124×128 พิกเซล (15fps) ขนาด 1MB เท่านั้น ซึ่งภาพที่เห็นในวิดีโอก็จะแตก ๆ ไม่ชัดเท่ากับการส่งผ่าน Wi-Fi ตรงนี้ผู้อ่านคงมองเห็นภาพกันแล้วว่าขนาดไฟล์วิดีโอที่ปลายทางได้รับว่าขึ้นอยู่กับเราว่าใช้ Wi-Fi หรือ 3G/EDGE ในขณะนั้น ซึ่งการส่งวิดีโอผ่าน iMessage ด้วย EDGE อย่าไปคาดหวังการส่งวิดีโอเลยครับเพราะนอกจากจะใช้เวลานานและยังเปลืองแบตเตอรี่อีกด้วย ยิ่งใช้เวลานานยิ่งเปลืองแบตเตอรี่
ความคิดเห็นส่วนตัว
ถือว่า iMessages เปิดตัวมาทำได้พอตัว แม้ตอนนี้อาจจะเทียบกับ BBM ไม่ได้เพราะด้วยความใหม่อยู่มาก ทุกครั้งในการส่งจะคิดในใจตลอดว่าจะส่งไปถึงปลายทางจริงหรือไม่แบบว่ายังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ คงต้องใช้งานอีกสักพักถึงจะบอกได้ว่าดีแบบหวังผลได้หรือไม่
ใน Weather ของ iOS 5 ได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นชนิดที่เรียกว่าคนที่ชอบเดินทางบ่อย ๆ น่าจะชอบเพราะได้เพิ่ม Local Weather ที่ทำให้เราสามารถทราบสภาพอากาศในที่ ๆ เราอยู่ได้เลยทันทีไม่จำเป็นต้องตั้งค่าอะไรเพิ่ม โดย Local Weather เมื่อเปิดเข้ามาจะตรวจสอบจากพิกัดว่าเราอยู่แห่งหนตำบลใดของโลกจากนั้นก็จะขึ้นว่าตรงที่ ๆ เราอยู่คือที่ไหนและสภาพอากาศเป็นอย่างไร (แน่นอนว่าต้องอาศัยอินเตอร์เน็ตในการตรวจสอบ) ซึ่งตรงนี้เหมาะมากกับคนที่ชอบเที่ยวต่างประเทศบ่อย ๆ แบบว่าไปต่างที่ต่างเมืองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มก็สามารถตรวจสอบสภาพอากาศได้ทันที เท่านั้นยังไม่พอในตารางที่แจ้งสภาพอากาศของแต่ละวันเมื่อใช้นิ้วแตะไปที่วันนั้น ๆ เราจะเห็นการพยากรณ์สภาพอากาศล่วงหน้าเป็นรายชั่วโมงได้ถึง 6 ชั่วโมง (โดยตัวเลขเปอร์เซ็นต์ข้างท้ายยังไม่ทราบจริง ๆ ว่าบอกถืงอะไร คงต้องดูในเอกสารของแอปเปิ้ลอีกทีแล้วจะมาเขียนอัพเดทครับ)
Local Weather สามารถบอกสภาพอากาศในพื้นที่ ๆ เราอยู่ได้ทันโดยไม่ต้องตั้งค่าใดๆ
พยากรณ์อากาศล่วงหน้ารายชั่วโมง
ความคิดเห็นส่วนตัว
ดีมาก ๆ สำหรับ Local Weather ถ้าเดินทางบ่อยเพราะจะทำให้เราทราบสภาพอากาศในที่นั้น ๆ ได้เลย
เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่แอปเปิ้ลทำเป็นแอพฯขึ้นมาให้กับ iOS 5 ซึ่งการใช้ Reminder ก็ตามชื่อครับ คือเอาไว้จดโน๊ตสั้น ๆ กันลืมและเราสามารถตั้งแค่ให้แจ้งเตือนได้ทั้งแบบธรรมดาที่ตั้งเวลาเองหรือแจ้งเตือนแบบที่ใช้พิกัด GPS ได้ด้วย เช่นว่าให้เตือนว่าต้องซื้อผักเมื่อออกจากบ้าน/ที่อยู่ปัจจุบัน (Currrent Location) ส่วนถ้าให้เตือนเมื่อไปถึงสถานที่นั้น ๆ จะอ้างอิงที่อยู่ตามที่มีใน Address Book แค่เพียงอย่างเดียวตรงนี้เลยทำให้ไม่ได้ประโยชน์อะไรนักเพราะเราคงไม่ได้ไปตามสถานที่ ๆ มีอยู่เพียงแค่ใน Address Book เท่านั้น
หน้าตา Reminder
การแจ้งเตือนด้วยพิกัดจะอิงการที่อยู่ใน Address Book อย่างเดียว
ความคิดเห็นส่วนตัว
ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ตามที่เขียนไปด้านบนถ้าจะใช้การแจ้งเตือนแบบระบุพิกัด แอปเปิ้ลน่าจะเปิดให้เราเลือกพิกัดได้เองจาก Maps ด้วยจะทำให้น่าใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้การเปิดให้แจ้งเตือนแบบระบุพิกัดตัวเครื่องจะคอยตรวจสอบตำแหน่งที่อยู่ตลอดเวลาทำให้เปลืองแบตเตอรี่มากถึงมากที่สุด
สำหรับการนำ twitter มารวมกับ iOS 5 ชนิดที่ว่าฝังเข้าไปอย่างแนบแน่น ตรงนี้ประโยชน์ตกกับคนที่ใช้ twitter ้เพียงกลุ่มเดียว โดยใน Settings จะมีเมนูให้ตั้งค่า twitter ของเราเอง ซึ่งพอตั้งค่าเสร็จแล้วเราจะสามารถทวีตข้อความที่เราต้องการจากความสามารถดังกล่าวได้จากแอพฯ Safari, YouTube, Photos เพียง 3 แอพฯนี้เท่านั้น
หน้าตาในส่วนของการตั้งค่า Twitter ที่อยู่ใน Settings
จะมีปุ่ม Tweet ปรากฏในแอพฯ Safari, YouTube, Photos
ลองทวีตรูปภาพจาก Photos
ความคิดเห็นส่วนตัว
ส่วนตัวผมเฉย ๆ กับเรื่อง Twitter ที่ถูกผนึกกับ iOS 5 เพราะผมชอบใช้แอพฯอื่นมากกว่า
ในส่วนของกล่้องถ่ายรูปบน iOS 5 ได้เพิ่มความสามารถใหม่เข้ามาพอหอมปากหอมคออย่างการเลือกเปิดเส้นตารางแบ่ง 9 ช่อง (Grid), ใช้นิ้วจีบเพื่อซูมขณะถ่ายภาพ, กดนิ้วแช่ที่น่าจอไว้สักพักจะเป็น AE/AF Lock, ใช้ปุ่มปรับระดับเสียง (+) แทนปุ่มชัตเตอร์
เส้นตาราง 9 ช่องขณะถ่ายรูป
ส่วนใน Photos ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์การแต่งรูปฉบับเร่งด่วยเข้ามาด้วย โดยเราสามารถแต่งสีรูปแบบอัตโนมัติได้ภายในคลิกเดียว (Auto-Enhance) หรือถ้าถ่ายรูปมาแล้วในคนในภาพตาแดงก็สามารถใช้ฟังก์ชั่น Remove Red-Eye แก้เรื่องตาแดงได้ และสุดท้ายถ้ารูปที่ถ่ายมาแล้วสัดส่วนไม่ได้อย่างใจก็สามารถ Crop ภาพได้เพื่อให้ได้สัดส่วนของภาพที่เราต้องการหรือจะเลือก Crop ตามที่ในเครื่องเตรียมไว้ให้ก็ได้ (สัดส่วนที่มีเตรียมไว้ให้จะมีในเฉพาะ iPhone และ iPod touch ส่วนใน iPad จะไม่มีตรงนี้) ที่สำคัญอีกเรื่องคือเมื่อแก้ไขหรือตกแต่งรูปเสร็จแล้วใน iOS 5 จะเซฟรูปที่ถูกแก้ไขทับรูปต้นฉบับฉะนั้นตรงนี้ก็ควรจะระวังให้ดี
ความคิดเห็นส่วนตัว
สิ่งที่เพิ่มมาในส่วนของกล้องถ่ายรูปมีทั้งดีและเฉย ๆ ส่วนฟีเจอร์ใน Photos โดยส่วนตัวชอบ Crop มากเพราะบางครั้งอยากจะทำสัดส่วนภาพใหม่ก็ต้องเปิดแอพฯอื่นเพื่อ Crop รูป พอมีฟังก์ชั่นนี้ใน Photos เลยก็สะดวกดี แต่ก็ต้องระวังเรื่องการเซฟทับรูปเดิมด้วย
จากที่โดนด่าว่าข้อความแจ้งเตือนบน iOS 4 ขึ้นมาแล้วก็บัดหน้าจอมิดโดยเฉพาะถ้าขึ้นมาตอนเล่นเกมอยู่ขัดอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งใน iOS 5 ได้ปรับปรุงเรื่องนี้ให้ดีขึ้นแล้ว โดยการข้อความแจ้งเตือนเราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ขึ้นมาได้ 2 แบบคือขึ้นกลางหน้าจอเหมือนใน iOS 4 ก็ได้หรือจะให้ขึ้นมาที่ขอบด่้านบนหน้าจอก็ได้ หรือจะเลือกว่าไม่ต้องมีข้อความแจ้งเตือนเลยก็ได้ ซึ่งตรงนี้สามารถใช้ได้กับทุกแอพฯที่มีระบบแจ้งเตือน
สำหรับในส่วนของการแจ้งเตือนต่าง ๆ บนหน้าจอเครื่องที่ใช้ iOS 5 จะรวมอยู่ใน Notification Center ซึ่งไม่ว่าจะอยู่หน้าจอไหนก็สามารถใช้นิ้วลากจากด้านบนหน้าจอเพื่อให้ดูว่ามีแอพไหนขึ้นเตือนอะไรบ้างไม่ว่าจะอีเมล, ข้อความ SMS/iMessages, Skype รวมถึงที่แอปเปิ้ลตั้งค่าไว้เบื้องต้นอย่างสภาพอากาศและหุ้น ซึ่งพอดูเสร็จเราก็สามารถใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอการแจ้งเตือนกลับขึ้นไปซ่อนไว้ด้านบนได้เหมือนเดิม
ใช้นิ้วลากจากด้านบนหน้าจอเพื่อดึงหน้าต่างเกี่ยวกับการแจ้งเตือนออกมาอ่าน
นอกจากนั้นในกรณีที่เราไม่ได้ใช้เครื่องที่ลง iOS 5 ประมาณว่าวางทิ้งไว้เฉย ๆ หน้าจอ Lock Screen จะมีลิสต์รายการแจ้งเตือนจากแอพต่าง ๆ ขึ้นมาให้เราเห็นได้ด้วย ซึ่งเราสามารถใช้นิ้วลากไอคอนของแอพที่เราต้องการเปิดได้เลย
ความคิดเห็นส่วนตัว
ดีมากสำหรับ Notification Center ที่จับการแจ้งเตือนทั้งหมดมาไว้ในที่เดียวกันสามารถเรียกดูได้ง่าย รูปแบบการแจ้งเตือนที่สามารถตั้งค่าได้ว่าให้ขึ้นมาอยู่แค่ขอบด้านบนหน้าจอก็สะดวกดี การแจ้งเตือนเมื่ออยู่หน้า Lock Screen ก็สะดวกดี
สำหรับ Safari ใน iOS 5 เรื่องความเร็วในการเปิดใช้งานไม่ได้รู้สึกได้ชัดเจนว่าเร็วขึ้นกว่าเดิมมากนัก แต่ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Reading List ถือว่ามีประโยชน์มากในการใช้ Safari บนอุปกรณ์ที่ใช้ iOS 5 และ Safari บนเครื่อง Mac/Windows
เมนูใหม่ใน Safari : Add to Reading List และ Tweet
Reading List คืออะไร ?
Reading List พูดให้ง่ายคือ Bookmark ชั่วคราวประมาณว่าเจอหน้าเว็บนี้แต่ไม่สะดวกที่จะอ่านทันทีแทนที่จะกดเข้า Bookmark ปกติก็กดใช้ Add to Reading List ที่จะไม่ไปยุ่งกับ Bookmark หลักของเรา โดยตัวเครื่องจะเก็บ URL ของหน้าเว็บนั้นไว้เพื่อให้เรามาเปิดดูหรืออ่านทีหลังได้และพออ่านเสร็จเรีียบร้อยเราก็จัดการลบรายการใน Reading List ออกได้ทันที
สำหรับ Safari ใน iPad ที่มีการเปลี่ยนและเห็นได้ชัดเจนคือเลิกใช้ระบบหน้าต่าง (Windows) เมื่อเปิดหลาย ๆ เว็บพร้อมกันมาเป็นแท็ป (Tab) อยู่ในหน้าจอเดียวกันทั้งหมด (สามารถเปิดได้สูงสุด 9 แท็ป) การเปลี่ยนอันนี้ถือว่าทำได้ดีทีเดียวเพราะจะได้ไม่ต้องกดสลับหน้าจอของ Safari ไปมา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะมีงง ๆ ได้ว่าหน้าต่างไหนเปิดเว็บอะไรอยู่
เมนูการตั้งค่าของ Safari บน iPad
เปลี่ยนจากเปิดหน้าต่างมาเป็นการใช้แท็ป
ความคิดเห็นส่วนตัว
เรื่อง Reading List ชอบมากย่ิงถ้าคุณผู้อ่านใช้ iCloud ด้วยแล้ว Reading List จะซิงค์์ข้อมูลผ่าน iCloud ไปยังทุกเครื่องเหมือน ๆ กันได้ เช่นกด Add to Reading List บน iPhone แล้วจะไปอ่านบน Mac หรือ iPad ก็ได้ ในทางกลับกันถ้าเราไม่ได้ใช้ประโยชน์ของ iCloud การใช้ Reading List ยังเป็นแบบตัวใครตัวมันอยู่ข้อมูลไม่ซิงค์กันทุกเครื่อง ส่วนเรื่องแท็ปบน Safari ของ iPad สะดวกขึ้นเยอะในการใช้งาน
เป็นฟีเจอร์ที่ในบ้านเรามีคนที่ได้ใช้ไม่เยอะนักเพราะต้องมีอุปกรณ์ครบคือ iPad 2 หรือ iPhone 4S และ Apple TV โดย Airplay Mirroring คือการส่งภาพหน้าจอบน iPad 2 หรือ iPhone 4S ขึ้นไปบนทีวีผ่าน Apple TV
ขณเลือกบน iPad ว่าจะให้หน้าจอไปปรากฏบนทีวี
ขณะใช้งาน Airplay Mirroring บน iPad 2 ไปยังทีวี
ตรงนี้ข้อเอ่ยถึงเฉพาะของ iPad 2 ก่อนนะครับ โดยภาพที่ปรากฏบนทีวีก็จะเป็นสัดส่วนของหน้าจอ iPad 2 เลยคือ 4:3 แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรากดดูหนังสัดส่วนของภาพบนทีวีจะเป็นไปตามสัดส่วนของวิดีโอคือถ้าไฟล์วิดีโอเป็น 16:9 บนทีวีก็จะเป็นภาพแบบ 16:9 ด้วย ส่วนการเปิดแอพฯต่าง ๆ แล้วให้แสดงผลบนทีวีส่วนใหญ่จะเป็น 4:3 ตามหน้าจอ iPad 2 ซึ่งแอพฯส่วนน้อยที่มีการปรับสัดส่วนจอเมื่อแสดงผลบนทีวีให้เต็มจออย่างเช่นเกม Real Racing 2 HD ที่เวลาใช้ Airplay Mirroring ภาพบนทีวีจะเป็น 16:9 720p (ถ้าต่อผ่านอแดปเตอร์ HDMI จะได้ภาพที่ 1080p)
ความคิดเห็นส่วนตัว
ต้องบอกว่าสำหรับบ้านเราเป็นฟีเจอร์เฉพาะกลุ่มมาก ๆ ซึ่งเชื่อว่าคนที่มีของครบคงชอบกันเยอะครับ เรื่องเล่นเกมตอนนี้ผมมีแค่เกมเดียวที่รองรับ Airplay Mirroring เต็มรูปแบบคือ Real Racing 2 HD บน iPad 2 ซึ่งภาพที่ได้เวลาเล่นถ้าเทียบกับแบบเสียบสาย (1080p) ก็ยังถือว่าไม่เนียนเท่าไหร่ แต่แลกด้วยความสะดวกที่ไม่ต้องมาลากสายให้เกะกะ
สำหรับ iPad เมื่อลง iOS 5 ได้มีฟีเจอร์เด่น ๆ เพิ่มเข้ามาเฉพาะเลยอย่างคีย์บอร์ดสามารถจับแยกเป็นสองข้างได้ ซึ่งทำให้การใช้งานในการพิมพ์แบบนิ้วเดียวไม่ต้องเอื้อมนิ้วไกลเหมือนกับคีย์บอร์ดปกติ โดยการแยกคีย์บอร์ดเป็นสองข้างภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาอะไร แต่กับคีย์บอร์ดภาษาไทยเมื่อจับแยกกันแล้วเลย์เอาท์ตัวอักษรบนคีย์บอร์ดดันเปลี่ยนไปด้วย โดยเลย์เอาท์จะเปลี่ยนไปคล้ายกับเลย์เอาท์คีย์บอร์ดของ iPhone เจลบาล นั้นเอง~~
เลย์เอาท์คีย์บอร์ดไทยตอนแยกเป็น 2 ข้างจะกลายเป็น
ความคิดเห็นส่วนตัว
เรื่องเลย์เอาท์คีย์บอร์ดภาษาไทยเวลาแยกไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือบั๊กกันแน่ เพราะดูแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน โดยรวมเรื่องการแยกคีย์บอร์ดคนที่ชอบถือ iPad และกดพิมพ์ข้อความด้วยนิ้วโป้งอย่างเดียวน่าจะชอบเพราะกดได้สะดวกขึ้น ส่วนตัวผมยังชอบคีย์บอร์ดแบบเต็ม ๆ มากกว่า
เชื่อว่าทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้น่าจะมีหลายคนที่พบกับหน้าจอตั้งค่ารูปแบบใหม่ตั้งแต่ลง iOS 5 เสร็จ โดยตรงนี้แอปเปิ้ลพยายามทำให้เครื่องที่ใช้ iOS 5 ไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ในการซิงค์ข้อมูลเหมือนในอดีตอีกต่อไป และพยายามผลักให้ผู้ใช้งานกันไปใช้การแบ็คอัพขึ้น iCloud แทน
สำหรับการตั้งค่าในเครื่องที่ใช้ iOS 5 ต่างไปจากเดิมมากเพราะในอดีตเราต้องนำเครื่อง iPhone ก็ดี iPad ก็ดีมาเสียบเข้ากับ iTunes บนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อแอคติเวทให้ใช้งานได้ แต่ต่อจากนี้บนเครื่องที่ใช้ iOS 5 ไม่ต้องเสียบเข้ากับ iTunes ก็สามารถแอคติเวทได้ในตัวเพื่อเปิดใช้ได้งาน โดยหน้าจอการตั้งค่าเมื่อเริ่มใช้ iOS 5 จะให้ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับ Apple ID และจะมีถามด้วยว่าจะใช้งาน iCloud ด้วยหรือไม่
อีกหน่อยเวลามีอัพเดท iOS เราไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดตัวเฟิร์มแวร์ผ่าน iTunes แล้ว โดยต่อจากนี้เวลาที่แอปเปิ้ลปล่อยอัพเดทออกมาทุกเครื่องที่ใช้ iOS 5 สามารถอัพเดทแบบ Over The Air (OTA) ได้ทันที โดยการอัพเดทแบบ OTA ตัวเครื่องจะดาวน์โหลดแค่เฉพาะข้อมูลที่มีการอัพเดทเท่านั้น ต่างจากที่เราดาวน์โหลดจาก iTunes ที่จะเป็นการดาวน์โหลดตัวเฟิร์มแวร์ทั้งหมด ซึ่งขนาดไฟล์ของการอัพเดทแบบ OTA จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก (ประมาณ 100 กว่า MB) เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นเต็มที่มีขนาด 600-700 MB ทั้งนี้การอัพเดทแบบ OTA เวลาที่แอปเปิ้ลปล่อยอัพเดทออกมาจะมีไอคอนแจ้งเตือนที่ Settings
สำหรับข้อกำหนดในการอัพเดทแบบ OTA มีดังนี้
ความคิดเห็นส่วนตัว
เป็นเรื่องที่แอปเปิ้ลออกมาแก้ไขจุดบกพร่องของขนาดไฟล์ iOS ในปัจจุบันที่นับวันจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการอัพเดทแบบ OTA ที่โหลดมาแค่เฉพาะส่วนทำให้ลดปัญหาการรอดาวน์โหลดได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ถ้าต้องการ Restore เครื่องยังไงเราก็ต้องเสียบเครื่องเข้ากับ iTunes อยู่ดี ซึ่งก็ต้องดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ตัวเต็มที่มีขนาดมหึมา
สำหรับเรื่อง Wi-Fi Sync ถือว่าเป็นฟีเจอร์เด่นอีกหนึ่งอย่างของ iOS 5 โดยการใช้งานต้องใช้คู่กับ iTunes 10.5 ซึ่งในหน้า Summary บน iTunes จะมีให้เลือกหัวข้อ Wi-Fi Sync ว่าจะเปิดใช้งานหรือไม่
สำหรับ Wi-Fi Sync ของอุปกรณ์ที่ใช้ iOS 5 จะปรากฏบนทันทีเมื่อเปิดใช้งาน iTunes การซิงค์เหมือนกับที่เราเสียบสาย USB แล้วจิ้มกับ iTunes เลย ซึ่งการใช้ซิงค์ข้อมูลทั่วไปผมขอไม่ลงรายละเอียดเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เรื่องความเร็วในการซิงค์ข้อมูลผ่าน Wi-Fi ต้องบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คุณผู้อ่านควรทราบไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะยิ่งข้อมูลมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งใช้เวลานานมากในการซิงค์ ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยเขียนถึงไปแล้วเมื่อครั้งที่ใช้ iOS 5 (beta2) ไฟล์ 1GB ถ้าใช้บน Wi-Fi ที่เป็น 802.11g (ตามบ้านทั่วไปจะเป็นมาตรฐานนี้) ใช้เวลานานถึง 20 นาที ส่วนถ้าใช้บน 802.11n ใช้เวลา 9 นาที ซึ่งจะเห็นได้ว่าเร็วกว่ากันเยอะ แต่ทั้งนี้เรื่องซิงค์ข้อมูลขนาดใหญ่มาก ๆ ในชีวิตประจำวันก็คงซิงค์แค่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งถ้ารู้สึกว่าใช้ Wi-Fi Sync แล้วโอนข้อมูลช้าก็จัดการเสียบสาย USB เพื่อการโอนข้อมูลที่รวดเร็วกว่า
ทั้งหมดทั้งมวลจากข้างต้นเป็นฟีเจอร์เด่นของ iOS 5 ซึ่งจริง ๆ แล้วยังมีส่วนที่เราไม่ได้พูดถึงอีกมากอย่างเช่น iCloud ซึ่งจะเขียนถึงในลำดับถัดไป หวังว่าผู้อ่านจะมีความสุขกับการใช้ iOS 5 นะครับ
kangg