Sphero
iPad mini with Retina Display ตัวเล็กสเป็คจัดเต็มทำคนจะซื้อสับสนว่าจะซื้อ iPad Air หรือ iPad mini with Retina Display ดีกว่ากัน ลองมาอ่านรีวิวก่อนตัดสินใจจ่ายเงินดีกว่า
สำหรับ iPad mini with Retina Display รูปร่างหน้าตาเหมือนกับรุ่นเดิมเป๊ะ เครื่องที่เราได้มาเป็นสีเทา Space Gray เป็นสีที่สังเกตได้ชัดเจนสุดเวลาเห็นรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ส่วนเครื่องสีขาวเหมือนเดิมแยกไม่ออก อีกสองจุดถ้านำมาถือเทียบกับคือเรื่องน้ำหนักตัวเครื่องของ iPad mini with Retina Display จะหนักกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย และความหนาที่เพิ่มขึ้นอีก 0.3 ม.ม. จุดที่ปรับปรุงภายนอกคือแอปเปิ้ลเพิ่มไมโครโฟนเข้ามาเพิ่มอีกตัวบริเวณด้านหลังเครื่องช่วยตัดเสียงรบกวนเวลาใช้คุย FaceTime , Skype หรือขณะบันทึกวิดีโอได้ดีขึ้น นอกนั้น iPad mini with Retina Display ไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิม
ล่าง : iPad Air / บน : iPad mini with Retina Display
.
ซ้าย : iPad mini / กลาง : iPad mini with Retina Display / ขวา : iPad Air
.
ซ้าย : iPad mini / ขวา : iPad mini with Retina Display
.
ด้านสเป็คเครื่องอย่างที่ทราบกันดีว่าครั้งนี้แอปเปิ้ลทำ iPad Air และ iPad mini with Retina Display เป็นสเป็คเดียวกันทำให้คนที่จะเลือกซื้อก็ลำบากใจไม่น้อยเพราะไม่รู้ว่าจะตัดสินใจซื้อหน้าจอใหญ่หรือหน้าจอเล็กดีกว่ากัน โดยเสเป็คของ iPad mini with Retina Display ใช้ชิป A7 ความเร็ว 1.3GHz (ใน iPad Air ชิป A7 ความเร็ว 1.4GHz) แรมมาในเครื่อง 1GB, กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล ส่วนพื้นที่ใช้งานมีให้เลือกตั้งแต่ 16, 32, 64 และเป็นครั้งแรกที่ iPad mini มีพื้นที่ให้เลือกถึงระดับ 128GB เรียกว่าสเป็คเดียวกันพื้นที่การใช้งานก็มีเหมือน ๆ กับ iPad Air ทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งรุ่นที่เราใช้ทดสอบเป็นรุ่น Wi-Fi ความจุ 32GB เหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 27GB ซึ่งเรื่องพื้นที่การใช้งานถ้าจะซื้อใช้งานยาว ๆ หรือใช้แบบลืมซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ก็คำนวณดี ๆ
ภาพรวมสเป็คเครื่องของ iPad mini with Retina Display ต้องบอกว่าเกินความคาดหมาย เพราะก่อนจะเปิดตัวใครต่อใครก็คิดว่าสเป็คคงต่ำกว่า iPad Air แต่พอออกจริงสเป็คแบบนี้ถือว่าแอปเปิ้ลคิดใหม่ทำใหม่ไม่กั๊กในส่วนนี้แล้ว ทำให้เมื่อเทียบความแรงของ iPad mini with Retina Displa กับ iPad mini รุ่นแรกตัวเลขจากแอปฯ Geekbench 3 ออกมาห่างราว ๆ 5 เท่า ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไรเพราะตัวเดิมคือสเป็ค iPad 2 ที่ออกมา 2 ปีกว่าแล้ว ส่วนเทียบกับ iPad Air ผลที่ได้ออกมาพอ ๆ กัน
ล่าง : iPad Air / กลาง : iPad mini / บน : iPad mini with Retina Display
.
ในการใช้งานจริงของ iPad mini with Retina Display ถ้าเอามาเทียบกับ iPad mini รุ่นแรกอันนี้เห็นผลมากเรื่องความฉับไวที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องมานั่งสังเกตอะไรมาก การเข้าออกแอปฯ การใช้งานแอปฯต่าง ๆ ที่ทำได้ดีขึ้นมาก ก็ด้วยสเป็คที่ห่างกันอยู่ 2 ปีอะไร ๆ ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว
ครั้งก่อนในรีวิว iPad Air มีสาว ๆ ที่อ่านรีวิวแล้วส่งฟีดแบคกลับมาว่ามีแต่รูปที่เป็นมือผู้ชายถือเครื่องไม่รู้ว่าพอเป็นมือผู้หญิงแล้วจะเป็นยังไง ครั้งนี้ผมขอแก้ตัวด้วยภาพการถือเครื่อง iPad mini with Retina Display และ iPad Air ที่ใช้มือผู้หญิงถือเครื่องมาให้ดูกันว่า แต่ละเครื่องเวลาอยู่ในมือผู้หญิงเป็นอย่างไร
จากรูปข้างต้นถ้าเป็นมือผู้หญิงทั่วไป iPad mini with Retina Display สามารถกางมือถือเครื่องได้ด้วยมือเดียว การจับสองมือก็ดูพอเหมาะกับมือสาว ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPad Air แล้วมือผู้หญิงไม่สามารถกางออกมาจับมือเดียวได้ ถ้าจะถือมือเดียวก็ต้องจับเครื่องแบบถือหนังสือเวลาอ่านหน้าชั้นเรียนที่เอามือจับด้านบนเครื่องแล้ววางไว้บนแขน
ส่วนการถือเครื่อง iPad mini with Retina Display อยู่ในมือผู้ชายถ้าผู้หญิงกางมือถือเครื่องได้ผู้ชายก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะด้วยสรีระของผู้ชายทั่วไปมือใหญ่กว่าผู้หญิง ส่วนการถือแบบสองมือถ้าเป็นคนมือใหญ่มากหน่อยการถือเครื่องก็ต้องร่น ๆ เครื่องมาอยู่ที่ปลายมือเล็กน้อยเพราะถ้าจับเครื่องเข้าไปเต็มอุ้งมือนิ้วโป้งก็จะหน้าจอได้เหมือนกัน ต้องเอานิ้วโป้งมาพักไว้บริเวณขอบตัวเครื่องซ้ายขวา
หน้าจอ
ความคมชัดของหน้าจอ Retina Display เป็นสิ่งที่ทุกคนเดาทางแอปเปิ้ลได้ตั้งแต่เริ่มมี iPad mini รุ่นแรกว่าเดี๋ยวพอรุ่นที่สองออกก็จะทำเป็นจอ Retina Display ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ โดยความคมชัดของจอช่วยให้เราอ่านตัวหนังสือต่าง ๆ ได้สบายตามากขึ้นเพราะตัวหนังสือที่แสดงผลคมชัดมากขึ้นกว่าเดิม ข้อแตกต่างของจอธรรมดากับจอ Retina Display เห็นชัดกับตัวหนังสือขนาดเล็กถ้าเป็นจอเดิมตัวหนังสือเล็ก ๆ จะเห็นขอบตัวหนังสือไม่คม พอเป็นจอ Retina Display ตัวหนังสือเดียวกันนี้เราสามารถกวาดสายตาอ่านได้ดีขึ้นเพราะเห็นตัวหนังสือชัดขึ้น
กดที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่เห็นรายละเอียดชัดเจน
นอกจากเรื่องตัวหนังสือที่คมชัดมากขึ้น จอ Retina Display ก็ยังมีผลทำให้เวลาดูรูปทั่วไปดูชัดเจนมากขึ้นด้วย เรื่องนี้สำหรับคนที่ใช้ iPhone 4 ขึ้นไป หรือ iPad 3 ขึ้นไป คงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักเพราะเราชินกับความคมชัดระดับนี้อยู่แล้ว ส่วนคนที่ข้ามจาก iPad รุ่นแรกก็ดี iPad 2 ก็ดี หรือ iPad mini รุ่นแรกก็ดี จะรู้สึกว่าหน้าจอคมชัดมากขึ้นจริง ๆ
เรื่องหน้าจอมีอีกประเด็นที่ทำให้ใครหลายคนไม่ตัดสินใจซื้อ iPad mini with Retina Display เพราะหน้าจอดันแสดงสีสันได้ไม่สดและสมจริงเท่ากับหน้าจอ iPad Air ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็สังเกตเห็นกับตัวและในเว็บต่างประเทศที่ทำการทดสอบก็บอกตรงกับที่ผมเห็นคือจอ iPad mini with Retina Display แสดงสี (Garmut) ได้แคบกว่า iPad Air และแท็บเล็ตอื่นทำให้การนำ iPad Air และ iPad mini with Retina Display มาเปิดรูปเดียวกันจะเห็นข้อแตกต่างเรื่องนี้ที่หลายคนบอกว่าเห็นชัดเลยว่าจอของ iPad mini with Retina Display แสดงรูปภาพต่าง ๆ ได้สีที่ซีดกว่า iPad Air จุดนี้จำเลยตกไปอยู่ที่แอปเปิ้ลใช้ของห่วยกว่า iPad Air หรืออย่างไรกันแน่ กรณีนี้ทำให้ผมนึกไปถึงตอน iPhone 5 กับ iPod touch (5th Generation) ที่แม้เป็น Retina Display เหมือนกัน คมชัดเหมือนกัน แต่คุณภาพของจอก็แตกต่างกันเมื่อนำมาวางเทียบข้างกัน
(รูปภาพดอกไม้และพริกจาก : apple.com/iphone-5s/camera/gallery)
จากที่ใช้จริงเรื่องสีหน้าจอที่แสดงผลได้ไม่ดีเมื่อเทียบกับ iPad Air ถ้าใช้ทั่วไปอยู่เครื่องเดียวเราไม่มีตัวเปรียบเทียบก็จะไม่รู้สึกอะไรว่าสีจืด ถ้าคุณใช้งานทั่วไปเช่นใช้อ่านเว็บ อ่านนิตยสารดิจิตอล ใช้พิมพ์เอกสาร เรื่องสีจืดอาจจะไม่ได้เป็นประเด็นอะไรนัก แต่ถ้าต้องการความเที่ยงตรงของการแสดงสีเช่นใช้งานร่วมกับงานถ่ายภาพ, หรือทำม็อกอัพเว็บที่ต้องแสดงสีให้ถูกต้อง iPad mini with Retina Display คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่
จากที่ได้ลองกล้องถ่ายรูปของ iPad mini with Retina Display ส่วนตัวผมคิดว่าแอปเปิ้ลปรับปรุงมาไม่เยอะไม่เหมือนของ iPad Air กับ iPad 4 ที่เห็นความต่างกันพอควร โดยกล้อง iPad mini with Retina Display เทียบกันรูปต่อรูปเหมือนแอปเปิ้ลจะปรับปรุงเล็กน้อยในเรื่องความชัดใสของภาพ สีสันของภาพที่ออกมาสีเข้มกว่าเดิมนิดหน่อย
สำหรับลำโพงของ iPad mini with Retina Display ผมลองฟัง ๆ เทียบกับ iPad mini เดิมมีเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย คือไม่ได้ดีขึ้นนะครับ แต่บุคลิกเสียงเปลี่ยนไปจากเดิมคือที่จะออกทึบ ๆ เป็นเสียงที่โปร่งขึ้นนิดหน่อย เวลาฟังเพลงที่เน้นเสียงนักร้องจะเห็นข้อแตกต่างอยู่พอควร ส่วนเสียงเบสเสียงต่ำยังโดนกลืนเหมือนเดิม
ซึ่งพอนำมาเทียบกับลำโพงของ iPad Air จะเห็นข้อแตกต่างเรื่องความกังวาลของเสียงที่ลำโพงของ iPad Air ทำได้ดีกว่า รวมถึงความแน่นของเสียงจากลำโพงที่ iPad mini with Retina Display สู้ iPad Air ไม่ได้
เอาจริง ๆ เรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นประเด็นอะไรมากเพราะถ้าต้องการเสียงที่ดีมากจริงก็ต่อหูฟังหรือต่อลำโพงดีกว่าอยู่แล้ว ขอแค่ให้เสียงดังฟังได้ชัดก็พอแล้ว
ความร้อนตัวเครื่องของ iPad mini with Retina Display เป็นอีกประเด็นที่ผมให้น้ำหนักมากอยู่เหมือนกัน เพราะเป็น iPad mini รุ่นแรกที่มาใช้จอ Retina Display ที่ใช้พลังงานมากขึ้น เครื่องต้องประมวลผลมากขึ้น ช่างเหมือนกับตอนที่เปลี่ยนจาก iPad 2 มาเป็น iPad 3 แล้วมีประเด็นว่าเครื่องร้อนมากขึ้นยังไงยังงั้น
ซึ่ง iPad mini with Retina Display ก็หนีไม่พ้นเรื่องความร้อนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ iPad mini รุ่นแรกที่เปิดใช้งานแบบเดียวกันตัวเครื่อง iPad mini with Retina Display จะอุ่น ๆ ขึ้นอย่างรู้สึกได้ โดยความร้อนความอุ่นถามว่าพอ ๆ กับ iPad Air รึเปล่าก็พอ ๆ กันแต่ iPad mini ตัวเล็กกว่าเลยรู้สึกว่าความร้อนแผ่ขยายทั่วด้านหลังเครื่อง ส่วน iPad Air จะอุ่น ๆ อยู่เฉพาะจุดไม่อุ่นทั่วด้านหลังเครื่อง แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าร้อนเหมือนตอน iPad 3 ที่แบบว่าเครื่องร้อนจนไม่อยากถือเครื่อง ในการใช้งานทั่วไปผมเปิดวิดีโอบน YouTube ทั้ง 2 เครื่องพร้อมกันเลือกให้เล่นไฟล์แบบ 1080p ในระยะเวลาประมาณ 30 นาทีแล้ววัดอุณหภูมิ ความร้อนของ iPad mini with Retina Display ขึ้นมาที่ 36.5 องศาเซลเซียส ส่วน iPad mini รุ่นแรกอุณหภูมิต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียสซึ่งแถบวัดอุณหภูมิที่ใช้ไม่สามารถบอกอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 36 และสูงกว่า 40 องศาเซลเซียสได้
iPad mini with Retina Display
.
iPad mini
.
ส่วนการทดสอบแบบฮาร์ดคอร์เพราะอยากรู้ว่าเครื่องจะร้อนไปถึงระดับไหนกัน ผมเปิดวิดีโองานเปิดตัว iPhone 5s/iPhone 5c บน YouTube ความยาว 1.23 ชั่วโมงวนซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 11 โมง หันมาจับเครื่องอีกทีพบว่าเครื่องร้อนมากสุด ๆ ลองวัดอุณหภูมิด้วยแถบวัดไข้ก็ทะลุเกิน 40 องศาเซลเซียส จากที่จับเองก็ร้อนมือมากคิดว่าอุณหภูมิจริงน่าจะมากกว่า 43 องศาเซลเซียส และจากนั้นลองดูว่าอุณหภูมิจะลดลงมาในระดับปกติเร็วแค่ไหนก็เลยลองปิดวิดีโอปิดหน้าจอแล้วรอเวลา พบว่าในเวลา 15 นาทีจากที่เครื่องร้อนมาก ๆ จนจับไม่ได้อุณหภูมิลงมาเหลือ 36.5 องศาเซลเซียสในระดับที่ปกติเราจับถือเครื่องได้แล้ว จุดนี้อุณหภูมิลดลงมาเกือบ ๆ 10 องศาเซลเซียสในเวลา 15 นาทีผมเองบอกไม่ได้ว่าช้าหรือเร็วยังไงลองช่างใจกันเองอีกทีนะครับ
สำหรับแบตเตอรี่ใน iPad mini with Retina Display แอปเปิ้ลเพิ่มปริมาณไฟขึ้นมาจากเดิมราวสองพันมิลลิแอมป์เป็น 6,471 มิลลิแอมป์ เพื่อให้ได้ตัวเลขว่าสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 10 ชั่วโมง
ซึ่งในการใช้งานจริงระหว่างทดสอบเครื่องผมชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้งจากนั้นใช้งานทั่วไปเปิดดูเว็บบ้าง, ใช้เล่นทวิตเตอร์บ้าง, เปิดเพลงในเครื่องฟังบ้าง เปิดวิทยุแบบสตรีมมิ่งฟังบ้าง ทั้งหมดใช้งานเป็นช่วง ๆ แบบไม่ต่อเนื่องครั้งแรกตัวเลขออกมาได้ใกล้เคียงกับที่เคยทดสอบ iPad Air คือประมาณ 14 ชั่วโมง ส่วนครั้งที่สองผมเจาะจงใช้งานเครื่องบ่อยขึ้นถี่ขึ้นและจากการทดสอบความร้อนตัวเครื่องมีบางช่วงที่ผมเปิดวิดีโองานเปิดตัว iPhone 5s/iPhone 5c ใน YouTube ทิ้งไว้ด้วย 5 ชั่วโมงแบบต่อเนื่อง รวมกับการใช้ Pages พิมพ์รีวิวนี้ด้วยอีกราว ๆ 1 ชั่วโมง ใช้งานทั่วไปเรื่อย ๆ เป็นช่วง ๆ ตลอดทั้งวัน มีเปิดให้เครื่องดาวน์โหลดหนังขนาดไฟล์ 5GB จาก iTunes Store ปล่อยทิ้งไว้ด้วย ดาวน์โหลดเสร็จเปิดดูหนังเรื่องดังกล่าวต่อ ตัวเลขระยะเวลาการใช้งาน (Usage) ทำได้ที่ 10 ชั่วโมง
จากการทดสอบทั้ง 2 ครั้งต่างลักษณะการใช้งาน iPad mini with Retina Display ทำเรื่องนี้ได้ดีไม่น่าผิดหวังอะไร ซึ่งถ้าใช้งานแบบทั่วไปไม่ได้เล่นเกมต่อเนื่องหรือเปิดดูหนังดูซีรีย์หลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน การใช้งานเกินระดับ 10 ชั่วโมงทำได้สบาย ๆ ส่วนจะเกินมากเกินน้อยอยู่ที่เราว่าใช้เครื่องบ่อยแค่ไหน หรือถ้าใช้งานหฤโหดมาก ๆ ใช้งานต่อเนื่องเกือบทั้งวันคงเหมือนกับการทดสอบครั้งที่ 2 ที่ระยะเวลาการใช้งานเครื่องลดลงมาแต่ก็ยังอยู่ในระดับ 10 ชั่วโมงได้หายห่วง ทั้งนี้ผมคิดว่าระยะเวลาอาจจะน้อยกว่านี้ถ้าเครื่องเป็นรุ่น Cellular+Wi-Fi ที่ต้องมีการใช้ 3G ควบคู่ไปด้วยในการใช้งาน
ส่วนจุดที่ไม่ปลื้มใจแอปเปิ้ลเกี่ยวกับเรื่องแบตเตอรี่คงเป็นอแดปเตอร์ชาร์จไฟที่แอปเปิ้ลให้มาในกล่องเป็นแบบ 10W ที่ปัจจุบันใน store.apple.com/th ไม่มีขายแล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ก็ไม่รู้ว่าแอปเปิ้ลจะกั๊กเรื่องนี้ไปทำไมน่าจะให้รุ่น 12W ที่เป็นรุ่นปัจจุบันมาเลยดีกว่า โดยการชาร์จแบตเตอรี่จากอแดปเตอร์ 10W ให้ iPad mini with Retina Display ใช้เวลาราว ๆ ชั่วโมง 3.45 ชั่วโมง (จาก 5-100 เปอร์เซ็นต์)
iPad mini with Retina Display น่าใช้หรือไม่? น่าใช้ครับถ้าไม่ติดประเด็นเรื่องสีหน้าจอทำได้ชืดกว่า iPad Air ถือว่า iPad mini with Retina Display เป็นเครื่องที่น่าใช้งานครับ แต่พอมาตกม้าตายเรื่องสีสันหน้าจอที่ทำได้ไม่ดีอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนที่อยากได้เครื่องเล็กพริกขี้หนูเก่งรอบด้านทำได้เหมือนรุ่นใหญ่ก็ต้องคิดกันหน่อยว่าจะยอมรับได้หรือไม่ว่าสีหน้าจอจืดไป ยิ่งถ้าต้องทำงานเกี่ยวกับรูปภาพการเลือก iPad mini with Retina Display คงไม่เหมาะ ส่วนใช้งานทั่วไปและไม่ได้ติดใจประเด็นเรื่องสีหน้าจอถือว่า iPad mini with Retina Display เป็นเครื่องที่น่าใช้งานมากด้วย
จุดสังเกต
ราคา :
รุ่น Wi-Fi
รุ่น Wi-Fi + Cellular
kangg